สารบัญ
ทยอยโอนแล้ว! อย่าลืมเช็คสิทธิเยียวยารับ “เงินเกษตรกร” โอนเข้าที่ไหน ได้เท่าไรบ้าง 2567
เงินเกษตรกรเป็นเงินที่ได้จากการเยียวยาเกษตรกร ซึ่งจะได้ฟรี ไม่ต้องมีการกู้หนี้ยืมสินแต่อย่างใด เพื่อให้เกษตรกรได้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมปี 2567 หรือวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID-19 เองก็ตาม ทั้งนี้จะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง เราได้สรุปสั้น ๆ ได้ใจความ ไปดูกันเลย
เงินเกษตรกร..มาจากไหน
สำหรับเงินเกษตรกรนี้ไม่ได้เป็นเงินที่ได้ทุกคน เพราะถือได้ว่าเป็นมติครม. โดยข้อเสนอเยียวยาเกษตรกรจาก กระทรวงพาณิชย์ที่ได้เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ซึ่งต้องการดำเนินการภายใต้โครงการประกันรายได้เงินช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ปลูกข้าวปี 2567/65 โครงการเงินเยียวยาเกษตรกรนี้มีวงเงินรวมกว่า 13,225 ล้านบาท วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้ปลูกข้าวไม่ให้เผชิญกับความเสี่ยงของราคาข้าว ไม่ให้ประสบปัญหาการขาดทุน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งปัญหาด้านอุทกภัยด้วยเช่นกัน เพราะเงินเกษตรกรนี้มีส่วนช่วยให้ระบบกลไกตลาดยังคงทำงานได้เป็นปกติ ขับเคลื่อนสังคมเศรษฐกิจต่อไปได้
เช็คเงินเกษตรกร โอนวันไหน โอนเข้าที่ไหน
สำหรับเงินเกษตรกรจะทำการโอนเงินเยียวยาเกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป โดยคิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 10,920 ล้านบาท และมีเกษตรกรที่จะได้รับเงินทั้งสิ้น 492,751 ราย (ครัวเรือน)
ช่องทางที่สามารถเช็คเงินเกษตรกร รวมทั้งรายละเอียดการเช็ควันโอนเงินเกษตรกร สามารถดำเนินการได้ผ่านทางเว็บไซต์ chongkho.inbaac.com เท่านั้น อย่าได้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างดำเนินการเช็คโดยมิจฉาชีพเด็ดขาด รายละเอียดเงินเกษตรกรจะบอกทั้งหมดฟรีผ่านทางเว็บไซด์ และถ้าหากคุณได้รับเงินเข้าเรียบร้อยแล้ว ในระบบจะแสดงข้อมูลว่า “โอนเงินเรียบร้อยแล้ว” อย่างไรก็ตามหากไม่พบข้อมูลขึ้นมาเกี่ยวกับการลงทะเบียนให้ท่านเช็คหน่วยงานที่รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้เรียบร้อยตามชนิดของพืชพันธุ์ที่ได้รับสิทธินั้นเอง
เงินเกษตรกรได้เท่าไร
เงินเกษตรกรจะมีวงเงินเพื่อเข้าเยียวยาเกษตรกร ซึ่งแบ่งตามเรื่องของการปลูกข้าวของเกษตรเป็นสำคัญ ว่าเป็นสายพันธุ์ข้าวอะไร โดยจะให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรกับข้าว 5 ชนิด ได้แก่
- ข้าวเปลือกหอมมะลิ ให้ราคาตันละ 15,000 บาท โดยครัวเรือนจะต้องมีไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต ให้ราคาตันละ 15,000 บาท โดยครัวเรือนจะต้องมีไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกเจ้า ให้ราคาตันละ 15,000 บาท โดยครัวเรือนจะต้องมีไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ให้ราคาตันละ 15,000 บาท โดยครัวเรือนจะต้องมีไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกเหนียว ให้ราคาตันละ 15,000 บาท โดยครัวเรือนจะต้องมีไม่เกิน 14 ตัน